ทำความเข้าใจเกี่ยบกับ กันสักนิด SEO คืออะไร

SEO หรือ Search Engine Optimization คือกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, Yahoo การทำ SEO ประกอบด้วยหลายขั้นตอนและกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหา และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดีที่สุด

SEO ไม่ได้หมายถึงเพียงการเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพของการเข้าชมด้วย ซึ่งหมายถึงการดึงดูดผู้เข้าชมที่มีความสนใจจริงในสินค้าหรือบริการของคุณ นอกจากนี้การทำ SEO ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ (User Experience) โดยการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ เนื้อหา และความเร็วในการโหลด

โดยสรุป SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักและน่าสนใจในสายตาของเครื่องมือค้นหาและผู้ใช้ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในที่สุด

ประเภทของ SEO ประกอบด้วยอะไรบ้างนะ

SEO สามารถแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ๆ ได้แก่ On-Page SEO, Off-Page SEO และ Technical SEO

  1. On-Page SEO: เป็นการปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างของหน้าเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหา เช่น การใช้คีย์เวิร์ดในเนื้อหา การตั้งค่า Meta Tags การใช้หัวข้อที่เหมาะสม การสร้างลิงก์ภายใน การปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ และการเพิ่มประสิทธิภาพของภาพ
  2. Off-Page SEO: เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความนิยมของเว็บไซต์ผ่านการสร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) จากเว็บไซต์อื่น การใช้โซเชียลมีเดีย และการทำ PR ออนไลน์ การสร้างลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงจะช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหา
  3. Technical SEO: เป็นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การปรับปรุงไฟล์ Robots.txt, การสร้างแผนผังเว็บไซต์ (XML Sitemap), การใช้ HTTPS, และการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์บนมือถือ

การทำความเข้าใจและการปรับปรุงในแต่ละประเภทของ SEO นี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดอันดับของการทำ SEO

การจัดอันดับในเครื่องมือค้นหาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งการทำความเข้าใจและการปรับปรุงในปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณมีการจัดอันดับที่ดีขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดอันดับได้แก่

  1. การวิจัยคำค้นหา (Keyword Research): การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและการใช้คีย์เวิร์ดเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพในเนื้อหา Meta Tags และหัวข้อจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถระบุเนื้อหาของเว็บไซต์คุณได้อย่างถูกต้อง
  2. คุณภาพเนื้อหา (Content Quality): เนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าสนใจจะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมและทำให้พวกเขาอยู่ในเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น นอกจากนี้ การสร้างเนื้อหาที่มีการตอบสนองต่อคำค้นหาของผู้ใช้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความนิยมของเว็บไซต์
  3. ลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks): การมีลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณในสายตาของเครื่องมือค้นหา ลิงก์ย้อนกลับที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. การใช้งานบนมือถือ (Mobile Usability): ในยุคที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่นิยมใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ การทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับมือถือเป็นสิ่งสำคัญ การมีเว็บไซต์ที่สามารถใช้งานได้ดีบนมือถือจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์
  5. ประสิทธิภาพเว็บไซต์ (Site Performance): ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและการมีเว็บไซต์ที่ทำงานได้อย่างราบรื่นเป็นปัจจัยที่สำคัญ เครื่องมือค้นหามักจะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพสูงและโหลดเร็ว
  6. การใช้งานที่ปลอดภัย (Security): การใช้ HTTPS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยในการใช้งาน เครื่องมือค้นหามักจะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีการป้องกันข้อมูลของผู้ใช้

การทำความเข้าใจและการปรับปรุงในปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณมีการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มปริมาณการเข้าชมและโอกาสทางธุรกิจในที่สุด

การเตรียมความพร้อมก่อนรับจ้างผู้ให้บริการ SEO (Preparing Before Hiring an SEO Service)

การประเมินเว็บไซต์ของคุณ

ก่อนที่จะว่าจ้างผู้ให้บริการ รับทำ SEO การประเมินสถานะปัจจุบันของเว็บไซต์ของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การทำความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของเว็บไซต์จะช่วยให้คุณสามารถระบุสิ่งที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการประเมินเว็บไซต์ ได้แก่:

  1. Google Analytics เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google Google Analytics ที่ช่วยให้คุณติดตามข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม แหล่งที่มาของการเข้าชม พฤติกรรมของผู้ใช้ และอื่นๆ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าผู้ใช้มาจากที่ไหนและพวกเขาทำอะไรบนเว็บไซต์ของคุณ
  2. Google Search Console เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือฟรีจาก Google Google Search Console ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบสถานะของเว็บไซต์ในการค้นหา ช่วยในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับการทำ SEO เช่น การตรวจสอบว่ามีหน้าเว็บไหนที่มีข้อผิดพลาด การตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ และการดูคำค้นหาที่ผู้ใช้ใช้เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ
  3. เครื่องมือวิเคราะห์ SEO อื่นๆ: เช่น Ahrefs, SEMrush, Moz ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ การประเมินความแข็งแกร่งของเว็บไซต์ของคุณเทียบกับคู่แข่ง และการระบุปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลต่อการทำ SEO

ขั้นตอนในการประเมินเว็บไซต์ของคุณ

  1. ตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์: ดูความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและการตอบสนองของเว็บไซต์ คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix เพื่อวิเคราะห์และแนะนำการปรับปรุง
  2. ตรวจสอบเนื้อหาและการใช้คีย์เวิร์ด: ดูว่าเนื้อหาของคุณมีความเกี่ยวข้องและน่าสนใจสำหรับผู้ใช้หรือไม่ ตรวจสอบการใช้คีย์เวิร์ดในเนื้อหาและ Meta Tags ว่าเหมาะสมและมีประสิทธิภาพหรือไม่
  3. ตรวจสอบลิงก์ภายในและภายนอก: ตรวจสอบการใช้ลิงก์ภายในเพื่อสร้างโครงสร้างที่ดีและเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน ตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับว่ามาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องหรือไม่
  4. ตรวจสอบการใช้งานบนมือถือ: ดูว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถใช้งานได้ดีบนอุปกรณ์มือถือหรือไม่ ใช้เครื่องมืออย่าง Google Mobile-Friendly Test เพื่อวิเคราะห์และแนะนำการปรับปรุงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Google Mobile Friendly

การประเมินเว็บไซต์ของคุณด้วยเครื่องมือและขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีข้อมูลเพียงพอที่จะทำการปรับปรุงและเตรียมความพร้อมก่อนรับจ้างผู้ให้บริการ SEO

การตั้งเป้าหมายของการทำ SEO

การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO เพราะเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณสามารถติดตามและวัดผลความสำเร็จของการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตั้งเป้าหมายควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

  1. ความเฉพาะเจาะจง (Specific): เป้าหมายควรชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เช่น “เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาโดยธรรมชาติ (Organic Search) ขึ้น 20% ในช่วงหกเดือนข้างหน้า”
  2. การวัดผลได้ (Measurable): เป้าหมายควรสามารถวัดผลได้ เช่น การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม การเพิ่มอันดับของคีย์เวิร์ดในผลการค้นหา หรือการเพิ่มยอดขายที่มาจากการเข้าชมเว็บไซต์
  3. การบรรลุผลได้ (Achievable): เป้าหมายควรเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง ไม่ควรตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไปจนไม่สามารถบรรลุได้
  4. ความเกี่ยวข้อง (Relevant): เป้าหมายควรเกี่ยวข้องกับธุรกิจและเป้าหมายทางการตลาดของคุณ เช่น การเพิ่มการรับรู้แบรนด์ การเพิ่มยอดขาย หรือการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่
  5. มีกรอบเวลาชัดเจน (Time-bound): เป้าหมายควรมีกำหนดเวลาในการบรรลุผล เช่น “เพิ่มอันดับของคีย์เวิร์ดหลักในช่วงสามเดือนข้างหน้า”

ตัวอย่างของการตั้งเป้าหมายที่ดี ได้แก่

  • เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาโดยธรรมชาติขึ้น 20% ภายในหกเดือน
  • เพิ่มอันดับของคีย์เวิร์ดหลักให้ติดอันดับในหน้าแรกของ Google ภายในสามเดือน
  • เพิ่มจำนวนลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือขึ้น 50% ภายในปีนี้

การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถติดตามและวัดผลความสำเร็จของการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ในการทำ SEO ให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่ตั้งไว้

การวิจัยและเลือกคีย์เวิร์ด

การวิจัยและเลือกคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในการทำ SEO คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มปริมาณและคุณภาพของการเข้าชมเว็บไซต์

ขั้นตอนการวิจัยและเลือกคีย์เวิร์ด

  1. การระดมสมอง: เริ่มต้นด้วยการระดมสมองเพื่อค้นหาคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ คิดถึงคำที่ลูกค้าอาจใช้ในการค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณ
  2. การใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด: ใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดเพื่อค้นหาคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูงและการแข่งขันที่เหมาะสม เครื่องมือที่แนะนำ ได้แก่:
    • Google Keyword Planner เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้คุณค้นหาคีย์เวิร์ดและดูปริมาณการค้นหาและการแข่งขัน สอนใช้เครื่องมือ Google Keyword Planner
    • Ahrefs: เครื่องมือที่มีความสามารถในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การดูปริมาณการค้นหา การแข่งขัน และการแนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
    • SEMrush: เครื่องมือที่ช่วยให้คุณค้นหาคีย์เวิร์ด ดูปริมาณการค้นหาและการแข่งขัน รวมถึงการวิเคราะห์คู่แข่ง
  3. การวิเคราะห์คู่แข่ง: ดูว่าคู่แข่งของคุณใช้คีย์เวิร์ดอะไรในการจัดอันดับ ค้นหาคีย์เวิร์ดที่พวกเขาใช้และประเมินว่าคีย์เวิร์ดเหล่านั้นเหมาะสมกับคุณหรือไม่
  4. การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม: หลังจากที่คุณได้ทำการวิจัยและรวบรวมข้อมูลแล้ว ให้เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงและการแข่งขันที่คุณสามารถเอาชนะได้ การเลือกคีย์เวิร์ดควรคำนึงถึง:
    • ความเกี่ยวข้อง: คีย์เวิร์ดควรเกี่ยวข้องกับธุรกิจและเนื้อหาของเว็บไซต์คุณ
    • ปริมาณการค้นหา: เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงเพื่อนำไปสู่การเพิ่มการเข้าชม
    • การแข่งขัน: ประเมินความสามารถในการแข่งขันของคุณในการจัดอันดับคีย์เวิร์ดเหล่านั้น
  5. การใช้คีย์เวิร์ดในเนื้อหา: หลังจากที่คุณได้เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมแล้ว ใช้คีย์เวิร์ดเหล่านั้นในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าสนใจ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคีย์เวิร์ดถูกใช้ในส่วนที่สำคัญของหน้าเว็บ เช่น หัวเรื่อง (Headlines), ย่อหน้าแรก, Meta Tags, URLs, และภายในเนื้อหา

การวิจัยและเลือกคีย์เวิร์ดอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบริการ รับทำ SEO